ตำนานเทพเจ้าจีน
ชาวจีนมีความเชื่อในเรื่องของตำนวนเทพเจ้าจีนมาเป็นเวลาช้านานแล้ว นับตั้งแต่สมัยช่วงศตวรรษที่ 3-6 ที่เชื่อว่า โลกกับจักรวาลหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันหรือสิ่งเดียวกัน แต่โลกนั้นมีลักษณะกลมเหมือนไข่ไก่ แต่เป็นไข่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกหนาทะมึนมีแต่ความขุ่นมัว และไข่ใบนี้ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ อยู่ภายในนอกเหนือจากสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งที่ชื่อว่า ผ่านกู๋ (การออกเสียงอาจมีความแตกต่างกันไป เช่น ผ่นกู๋ ผ่านกู่) อาศัยอยู่ภายในไข่นี้มาเป็นเวลานับหมื่นปี จนมาวันหนึ่งผ่านกู๋ได้ตื่นขึ้นมาและพบว่าอากาศรอบ ๆ ตัวร้อนอบอ้าวมากจนหายใจไม่ออก จะขยับตัวออกไปไหนก็ไม่ได้ เพราะมีเปลือกไข่หนา ๆ ห่อหุ้มตัวไว้ ผ่านกู๋จึงใช้ขวานซึ่งเป็นอาวุธประจำกายจามลงไปบนเปลือกไข่จนเกิดเสียงดังกึกก้องและเปลือกไข่ก็แตกออกทันที สิ่งเบา ๆ ที่ลอยออกมาก็ลอยตัวขึ้นไปกลายเป็นท้องฟ้า ส่วนที่ใสสะอาดก็กลายเป็นสรวงสวรรค์ และในส่วนที่ขุ่นมัวและมีน้ำหนักก็จมลงกลายเป็นผืนดิน เปรียบได้กับเพศชายเรียกว่า หยาง เป็นส่วนที่แสดงถึงความอบอุ่นมั่นคงและแสงสว่าง และอีกส่วนหนึ่งที่ตรงกันข้าม คือ ความหนาวเย็น ความมืด เรียกว่า หยิน เปรียบได้กับเพศหญิง ผ่านกู๋กลัวว่าท้องฟ้ากับผืนดินจะกลับมาหลอมรวมกันอีก จึงใช้ร่างกายตัวเองคอยค้ำยันไว้ โดยใช้ส่วนศีรษะยันท้องฟ้า และใช้เท้าเหยียบผืนดินไว้ ผ่านกู๋ต้องทำอย่างนี้ทุกวันเพื่อให้ท้องฟ้ากับผืนดินอยู่ห่างกันไว้ จนร่างกายเหนื่อยมากและล้มลงเสียชีวิต ร่างกายของเขาได้แปรเปลี่ยนสภายกลายเป็นสรรพสิ่งบนโลก กะโหลกศีรษะของเขากลายเป็นภูเขาสูง โดยภูเขาที่สำคัญที่สุดจะอยู่ทางด้านตะวันออกและตะวันตก ซึ่งภูเขาทางด้านตะวันออกมีชื่อว่า ไทซาน ซึ่งเป็นภูเขาที่มีอยู่จริงตามลักษณะภูมิศาสตร์ของประเทศจีน ส่วนกล้ามเนื้อกลายเป็นผืนนา โลหิตกลายเป็นธารน้ำไหล เส้นขนกลายเป็นต้นไม้ใบหญ้า ดวงตาซ้ายกลายเป็นดวงอาทิตย์ ดวงตาขวากลายเป็นดวงจันทร์ และเส้นผมกับหนวดกลายเป็นดวงดาวบนท้องฟ้ามากมาย ส่วนความเชื่อเรื่องกำเนิดของมนุษย์นั้นเชื่อกันว่าเกิดมาจากพยาธิ เห็บ หมัดที่แทรกอยู่ตามลำตัวของผ่านกู๋ แต่ในบางตำราก็เชื่อว่ามนุษย์เกิดจากการปั้นโคลนจากแม่น้ำของเทพเจ้านูกัว ซึ่งแล้วแต่ความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น