หันเซียงจื่อ
หันเซี่ยงจื่อ หรืออีกนามหนึ่งว่า ฮั่งเซี่ยงจื้อ เป็นเซียนองค์ที่เจ็ด มีนามเดิมว่า ทันเชียง เกิดในสมัยราชวงศ์ถัง เต๋อจงหรือปรมาณพุทธศักราช 1323-1355 เมื่อวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 11 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน และเชื่อว่าท่านมีตัวตนอยู่จริงในปลายราชวงศ์ถัง มีประวัติความเป็นมาว่าหันเชี่ยงจื่อ หรือ หันเชียง เป็นหลานของหันอวี้ ซึ่งเป็นนักปราชญ์คนสำคัญในสมัยราชวงศ์ถัง เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่มักใหญ่ไฝ่สูง แม้ไม่ได้เป็นหลานของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ชอบศึกษาพระธรรมหลักคำสอนของลัทธิเต๋าอย่างจริงจัง ทำให้หันอวี้ผู้เป็นลุงไม่พอใจเพราะอยากให้หันอวี้สนใจเรียนด้านบู๊และบุ๋นมากกว่าเพื่อจะได้เข้ารับราชการต่อไป แต่หันเชียงกลับไม่ชอบและไม่สนใจทำให้หันอวี้โกรธเคืองอย่างมาก
วันหนึ่ง หันเชียงได้เดินทางไปท่องเที่ยวเพื่อศึกษาวิชาบำเพ็ญพรตและได้พบกับหลิวตงปิ่น และได้สมัครเป็นลูกศิษย์เพื่อเรียนวิชาบำเพ็ญพรต เมื่อร่ำเรียนสำเร็จก็ตั้งใจว่าจะกลับไปบ้านและชักชวนให้หันอวี้ผู้เป็นลุงเปลี่ยนใจมาศึกษาวิชาธรรมะ แต่ในขณะนั้นบ้านเมืองของตนกลับมีเหตุเภทภัยฝนฟ้าไม่ตกตามฤดูกาล สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนเป็นอย่างมากเพราะไม่สามารถทำเกษตรกรรมได้ หันอวี้จึงตั้งโรงพิธีเพื่อบวงสรวงเทพยาฟ้าดินให้มีฝนตกตามฤดูกาล และในขณะนั้นหันเซียงก็ได้ปลอมตัวเข้ามาเพื่อร่วมพิธีด้วยปรากฏว่าฝนก็ตกลงมาจนเป็นที่พอใจ แต่หันอวี้กลับคิดว่าเป็นเพราะตนเองที่บวงสรวงทำให้ฝนตกลงมา อยู่มาวันหนึ่งหันอวี้ได้จัดงานวันเกิดและได้เชิญแขกมาร่วมงานมากมายเหอเซียนก็ได้เดินทางมาร่วมงานด้วย เมื่อหันอวี้เห็นเข้าก็ไม่พอใจเพราะยังโกรธเรื่องที่เหอเซียนไม่ยอมรับราชการตามที่ตนเองคาดหวัง จึงได้ท้าลองวิชาเหอเซียนว่าไปเรียนอะไรมาบ้าง เหอเซียนจึงแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เสกเหล้าในไหเปล่า และเสกกระเช้าดอกไม้ซึ่งในกระเช้าล้วนมีแต่ดอกไม้วิเศษที่กลีบของดอกไม้มีคำสอนธรรมะให้แก่ผู้อ่านด้วย เมื่อแสดงปาฏิหาริย์เสร็จแล้วก็หันไปลาหันอวี้ออกเดินทางต่อไป ในสมัยฮ่องเต้ถังเสวียนจง ได้มีข่าว่าเจดีย์หงสาวดีที่เมืองพม่ามีพระพุทธหัตถธาตุหรือกระดูกนิ้วมือของพระพุทธเจ้า ซึ่งเชื่อกันว่าหากได้มาบูชาแล้วบ้านเมืองจะมีแต่ความสงบสุข จึงได้ส่งสาส์นเพื่อขอนำพระธาตุนี้มาให้ประชาชนได้กราบบูชา แต่หันอวี้ได้มีหนังสือกลับไปว่าไม่ควรนำมาบูชาเพราะกลัวว่าประชาชนจะเปลี่ยนจากลัทธิเต๋าไปเคารพบูชาพระธาตุนี้แทน ทำให้พระองค์ทรงกริ้วมากจึงสั่งให้ประหารหันอวี้ แต่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ขอไว้เพราะเห็นแก่คุณงามความดีที่เคยทำมา จึงถูกเนรเทศไปอยู่ที่เมืองเซียงเอี๋ยงแทน ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงฤดูหนาวมีหิมะตกปกคลุมไปทั่วหันอวี้ออกเดินทางด้วยการขี่ม้าคู่ใจ แต่การเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบากทำให้ทั้งคนและม้าต่างหมดแรงไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ ส่วนหันเซียงได้ทราบเรื่องอยู่แล้วจึงมาคอยรับเมื่อหันอวี้ได้พบกับหลานจึงบอกว่า นี่คือสวรรค์ได้กำหนดไว้แล้วให้เป็นเช่นนี้ ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ หันเซียงจึงพาหันอวี้ไปพักยังเมืองหนึ่งและนำยาวิเศษมารักษา และบอกว่าหัสอวี้จะได้กลับไปเมืองหลวงอีกครั้ง ต่อมาคณะเซียนก็ได้มารับหันเซียนและแต่งตั้งให้เป็นเซียนองค์ที่เจ็ด
ในสมัยฮ่องเต้เจิงจง แห่งราชวงศ์ซ้อง ประมาณพุทธศักราช 1540-1565 ในระหว่างที่หันเซียงกำลังเล่นหมากรุกอยู่กับหลิวตงปิ่นที่หน้าถ้ำซานเต้าตง ก็ได้เกิดหมอกหนาทึบขึ้นพร้อมกับลำแสงสีแดงเลือดพาดลงมาทางท้องฟ้า หันเซียงจึงบอกว่านี่คือเหตุอาเพธของบ้านเมืองกำลังจะเกิดสงครามประชาชนจะได้รับความเดือนร้อน หันเซียงจึงต้องเข้าไปช่วยเหลือ ข้างฝ่ายศัตรูได้ทำค่ายกล 72 ค่าย ฝ่ายเมืองเปียนเหลี่ยงได้เจงต้าซือ ก็คือหันเซียงมาช่วยตีค่ายกลจนแตกสามารถช่วยบ้านเมืองให้รอดพ้นจากเหตุเลวร้ายนี้ได้
ลักษณะเด่นของหันเซี่ยงจือ คือเป็นบุรุษรูปงาม มีความสามารถด้านดนตรี มีเครื่องดนตรีประจำกายคือขลุ่ย ซึ่งมีเรื่องเล่าว่า เมื่อหันเซี่ยงจือเป่าขลุ่ยเสียงเพลงอันไพเราะนั้นจะบังเกิดให้มีนกบินวนเวียนอยู่รอบตัวเขาเสมอ และเสียงเพลงจากขลุ่ยนั้นยังมีอำนาจทำให้ต้นไม้ ดอกไม้ พืชพันธุ์ธัญญาหารเจริญงอกงามอีกด้วย ภาพลักษณ์ที่เห็นของหันเซี่ยวจื่อนั้นคือ บุรุษรูปงามในมือถือขลุ่ยที่มีเสียงอันไพเราะ จนทำให้ผู้ฟังเคลิบเคลิ้มหลงไหลไปกับเสียงขลุ่ยได้
หันเซียงจื่อได้ชื่อว่าเป็นเทพโป๊ยเซียน เทพเจ้าแห่งโชคลาภและความร่ำร่วย และได้รับการยกย่องว่าเป็นเซียนแห่งการพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ฟ้าดินและเป็นเทพแห่งการดนตรี